หลังจบเกมส์รอบรองชนะเลิศฟุตบอลชายเอเชี่ยนส์เกมส์ครั้งที่ 17 อินชอนเกมส์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยได้เปิดเผยในห้องแถลงข่าว หลังจบเกมส์ต่อหน้าผู้สื่อข่าวไทยและผู้สื่อข่าวเกาหลี โดยกล่าวชมว่าลูกทีมของตนเล่นได้ดีแล้วทุกคน โดยการป้องกันลูกโด่งทำได้ดีแล้วในช่วงแรก แต่ก็มาเสียประตูจากลูกโด่งจนได้ ส่วนลูกจุดโทษ ตนไม่สามารถยืนยันได้ เพราะอยู่ไกลจากเหตุการณ์ แต่นักเตะที่อยู่ใกล้กว่าต่างยืนยันว่า เหตุการณ์เกิดนอกกรอบ แต่ตนก็ต้องยอมรับการตัดสินของกรรมการ ส่วนในรอบชิงชนะเลิศ ที่เกาหลีใต้ จะทำศึกสายเลือดกับเกาหลีเหนือนั้น ตนหวังอยากให้เกาหลีใต้เจ้าภาพเป็นแชมป์ให้ได้ แต่ต้องไม่มีจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศ
วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557
![](http://3.bp.blogspot.com/-Az3rWTzx_g4/UYlYARv3-3I/AAAAAAAAI6c/NQpQpWOADcI/s000/date.png)
![](http://2.bp.blogspot.com/-LND4USO6kwY/UPYO14Ic45I/AAAAAAAADpU/B06gokV4O_w/s1600/user.png)
"ปลูกผักในต้นกล้วย" ความชุ่มฉ่ำเหลือเฟือ ไม่ต้องรดน้ำ ผักรสหวาน
สำหรับการปลูกผักไร้ดินที่จะแนะนำในครั้งนี้ จะเป็นการใช้ต้นกล้วยที่มีน้ำชุ่มฉ่ำของน้ำที่อยู่ในลำต้นแทน ซึ่งทำให้เกือบจะไม่ต้องใช้น้ำเลย เหมาะกับชาวสวนชาวไร่ในชนบทสักหน่อย เพราะตามหมู่บ้านของชนบท จะนิยมปลูกกล้วยกันมากในรอบบริเวณบ้านกันอยู่แล้ว
ขั้นตอนและวิธีการทำ
ขึ้นที่ 1 การเตรียมหรือการเพาะต้นกล้าเสียก่อน
เตรียมดินเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยคอก ผสม ขุยมะพร้าวหรือขี้เลื้อย และหรือเศษวัสดุอื่นๆ แล้วเพาะกล้า ลงแปลงเพาะกล้าไว้ เมื่อต้นกล้าผักเจริญเติบโตมีใบประมาณ 3-4 ใบ จึงนำออกมาปลูกบนต้นกล้วยได้
ขั้นที่ 2 สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย
สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยซึ่งต้นกล้วยนั้นหลังจากที่ตัดเครือ กล้วยที่แก่แล้วออก ก็จะตาย การจะตัดต้นกล้วยทิ้งก็เป็นการสูญเสียไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไร ดังนั้น เมื่อตัดเครือกล้วยแล้ว (จะเป็นกล้วยน้ำว้าหรือกล้วยอะไรก็ได้) ให้เจาะรูที่ต้นกล้วยในลักษณะทแยงลงไป ให้รูมีขนาดเท่ากับที่จะนำกล้าลงไปปลูกในต้นกล้วย และทำไม้ค้ำยันต้นกล้วยไม่ให้ต้นกล้วยล้มลง ส่วนจำนวนผักที่จะปลูกมากหรือน้อย ไม่สามารถบอกได้ ให้ดูขนาดของต้นกล้วยว่าใหญ่หรือเล็ก และก็ไม่ต้องรดน้ำ ให้ต้นกล้วยแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ประมาณ 30 วัน (ขึ้นอยู่กับอายุของผักที่ปลูก) ก็เก็บเกี่ยวผักไปกินหรือนำไปรับประทานได้เลย
ผักที่นำมาปลูก ได้แก่ อายุสั้น อย่างเช่น ผักสลัด ผักบุ้ง ผักกาดขาว หรือผักอะไรก็ได้ที่ ใช้เวลา ประมาณ 30 – 40 วัน ถ้าเกินนี้ต้นกล้วยจะโทรมและเหี่ยวแห้งตายเสียก่อน
ผักที่ได้จะมีรสชาติดีมาก หวาน และกรอบ ใบเป็นเงางาม ทั้งนี้ เป็นเพราะต้นกล้วยมีธาตุโพแทสเซียมสูงนั่นเอง ผักที่ปลูกควรเป็นผักกินใบที่ไม่ต้องการแสงแดดที่แรงมากนัก เพราะใบของกล้วยจะช่วยพรางแสงแดดได้บางส่วน
ข้อมูล http://manopas.com
การปลูกผักไร้ดินแบบไฮโดรโปนิกส์ เป็นที่นิยมกันมาก มีการทำเป็นชุด Kit ให้ไปทำการปลูกบนระเบียงคอนโดสำหรับผักสลัดทานเองก็เยอะ แต่อยากจะบอกว่าการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น ผักที่เราทานจะเป็นผักที่มีสารเคมีจากน้ำและแร่ธาตุที่เราใช้หล่อเลี้ยงเขา เข้าไปอยู่ในลำต้นตรง ๆ เลยทีเดียว
สำหรับการปลูกผักไร้ดินที่จะแนะนำในครั้งนี้ จะเป็นการใช้ต้นกล้วยที่มีน้ำชุ่มฉ่ำของน้ำที่อยู่ในลำต้นแทน ซึ่งทำให้เกือบจะไม่ต้องใช้น้ำเลย เหมาะกับชาวสวนชาวไร่ในชนบทสักหน่อย เพราะตามหมู่บ้านของชนบท จะนิยมปลูกกล้วยกันมากในรอบบริเวณบ้านกันอยู่แล้ว
ขั้นตอนและวิธีการทำ
ขึ้นที่ 1 การเตรียมหรือการเพาะต้นกล้าเสียก่อน
เตรียมดินเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยคอก ผสม ขุยมะพร้าวหรือขี้เลื้อย และหรือเศษวัสดุอื่นๆ แล้วเพาะกล้า ลงแปลงเพาะกล้าไว้ เมื่อต้นกล้าผักเจริญเติบโตมีใบประมาณ 3-4 ใบ จึงนำออกมาปลูกบนต้นกล้วยได้
ขั้นที่ 2 สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย
สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยซึ่งต้นกล้วยนั้นหลังจากที่ตัดเครือ กล้วยที่แก่แล้วออก ก็จะตาย การจะตัดต้นกล้วยทิ้งก็เป็นการสูญเสียไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไร ดังนั้น เมื่อตัดเครือกล้วยแล้ว (จะเป็นกล้วยน้ำว้าหรือกล้วยอะไรก็ได้) ให้เจาะรูที่ต้นกล้วยในลักษณะทแยงลงไป ให้รูมีขนาดเท่ากับที่จะนำกล้าลงไปปลูกในต้นกล้วย และทำไม้ค้ำยันต้นกล้วยไม่ให้ต้นกล้วยล้มลง ส่วนจำนวนผักที่จะปลูกมากหรือน้อย ไม่สามารถบอกได้ ให้ดูขนาดของต้นกล้วยว่าใหญ่หรือเล็ก และก็ไม่ต้องรดน้ำ ให้ต้นกล้วยแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ประมาณ 30 วัน (ขึ้นอยู่กับอายุของผักที่ปลูก) ก็เก็บเกี่ยวผักไปกินหรือนำไปรับประทานได้เลย
ผักที่นำมาปลูก ได้แก่ อายุสั้น อย่างเช่น ผักสลัด ผักบุ้ง ผักกาดขาว หรือผักอะไรก็ได้ที่ ใช้เวลา ประมาณ 30 – 40 วัน ถ้าเกินนี้ต้นกล้วยจะโทรมและเหี่ยวแห้งตายเสียก่อน
ผักที่ได้จะมีรสชาติดีมาก หวาน และกรอบ ใบเป็นเงางาม ทั้งนี้ เป็นเพราะต้นกล้วยมีธาตุโพแทสเซียมสูงนั่นเอง ผักที่ปลูกควรเป็นผักกินใบที่ไม่ต้องการแสงแดดที่แรงมากนัก เพราะใบของกล้วยจะช่วยพรางแสงแดดได้บางส่วน
ข้อมูล http://manopas.com
![](http://3.bp.blogspot.com/-Az3rWTzx_g4/UYlYARv3-3I/AAAAAAAAI6c/NQpQpWOADcI/s000/date.png)
![](http://2.bp.blogspot.com/-LND4USO6kwY/UPYO14Ic45I/AAAAAAAADpU/B06gokV4O_w/s1600/user.png)
แจ็ค หม่า จาก 500 บาทเป็น 5 ล้านล้านบาท สอนการใช้ชีวิตและธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
แจ็ค หม่า จากชายผู้มีเงินเดือน 500 บาท ตอนนี้บริษัท Alibaba ของเค้ามีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านบาท เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า eBay, Twitter และ LinkedIn รวมกัน เมื่อวันที่ Alibaba Group ขายหุ้น IPO เป็นวันแรก ก็ขึ้นแซง Facebook เลย! นับเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในจีนตอนนี้
วันนี้แฮกชีวิตนำคำสอนของ แจ็ค หม่า ว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตและธุรกิจได้อย่างไรบ้าง
“สิ่งที่ผมเสียใจที่สุด”
เมื่อปี ค.ศ. 2001 ผมได้ทำสิ่งผิดพลาดเป็นอย่างมากที่บอกให้ 18 คนที่ได้ร่วมลงเรือลำเดียวกันในการเริ่มธุรกิจกับผมว่า ตำแหน่งสูงสุดที่พวกเขาสามารถเป็นได้คือการทำงานในตำแหน่งระดับการจัดการเท่านั้น ส่วนตำแหน่งประธานและตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของเรานั้น เราจำเป็นจะต้องจ้างบุคคลภายนอกมาบริหารงาน แต่เพียงแค่ไม่กี่ปีต่อมา พวกเค้าเหล่านั้นก็ลาออก
..และสุดท้ายแล้ว บุคลากรภายในบริษัทที่อยู่มาตั้งแต่แรกเหล่านั้นก็เติบโต กลายประธานและผู้บริหารระดับสูง คนซึ่งผมเคยสงสัยในความสามารถของพวกเขา
หลังจากนั้นมาจึงทำให้ผมเชื่ออยู่ใน 2 อย่าง คือ
- ทัศนคติของคุณนั้นสำคัญกว่าความสามารถ
- การตัดสินใจของคุณนั้นก็สำคัญกว่าความสามารถ
“คุณไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนนั้นคิดเหมือนกันได้หรอก แต่คุณสามารถที่จะทำให้ทุกคนก้าวไปทางเดียวกันได้ด้วยเป้าหมายเดียวกัน”
- อย่าพยายามแม้แต่จะคิดว่าคุณจะทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้… มันไม่มีทางเป็นไปได้!
- 30% ของผู้คนทั้งหมดนั้น จะไม่มีวันเชื่อคุณเลย… ดังนั้นอย่าพยายามทำให้เพื่อนร่วมงานและพนักงานทำงานให้คุณ แต่จงทำให้เค้าทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกัน
- สร้างบริษัทให้รวมใจกันอยู่ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน ง่ายกว่าการทำงานภายใต้ตามคำสั่งของใครคนใดคนหนึ่งหรือเพื่อคนคนหนึ่ง
ผู้นำมีอะไรที่พนักงานทั่วไปไม่มี?
คนที่เป็นผู้นำนั้นไม่ควรนำทักษะเชิงเทคนิคของตัวเองไปเปรียบเทียบกับพนักงาน พนักงานของคุณจำเป็นต้องมีทักษะเชิงเทคนิคมากกว่าคุณอยู่แล้ว ถ้าหากเค้าไม่มี แสดงว่าคุณจ้างคนผิดแล้วล่ะ
แล้วอะไรละที่ทำให้ผู้นำโดดเด่น
- ผู้นำนั้นควรจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าพนักงานธรรมดา
- ผู้นำควรจะมีกล้าหาญ ยืดหยัด และความอดทนในสิ่งที่พนักงานธรรมดาไม่สามารถทำได้
- ผู้นำควรจะมีความอึดและความสามารถที่จะยอมรับสิ่งที่ล้มเหลวได้
แน่นอนว่าคุณภาพของผู้นำที่ดีนั้นอยู่ที่วิสัยทัศน์ แรงใจและความสามารถ
อย่าริยุ่งการเมือง
คุณต้องเข้าใจเสมอว่าเงินและอำนาจทางการเมือง มันอยู่ที่เดียวกันไม่ได้ หากคุณอยู่ในการเมือง ก็ไม่ควรคิดเรื่องเงินอีกต่อไป หากคุณทำธุรกิจ ก็อย่าเที่ยวไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
หากสองอย่างนี้เจอกันเมื่อไหร่ละก็ รอวันจบไม่สวย… ![:)](https://lh3.googleusercontent.com/blogger_img_proxy/AEn0k_s9Xdn0s_FgV4L7sFGgGygAzatQ09MHHiQObX6wrhUW21cs9nVAsmkm_mnpP3hVGy8TAGQZpnetGokr4IVB42Q0TTLNitDkC7sxqOhGG3TMBrn-bdTv9cWaSrW9HeUVHEtbTzOE=s0-d)
4 คำถามที่เด็กรุ่นใหม่ควรจะเฝ้าถามตัวเอง
ความล้มเหลวคืออะไร? การยอมแพ้นั้นเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ความยืดหยุ่นคืออะไร? คุณจะเข้าใจความหมายของคุณก็ต่อเมื่อคุณผ่านความยากลำบาก ผ่านความทุกข์และความผิดหวังมาแล้วเท่านั้น
ความรับผิดชอบและหน้าที่คืออะไร? คือการที่จะต้องขยันมากขึ้น ทำงานหนักและความทะเยอทะยานกว่าคนอื่น ๆ คนโง่เท่านั้นที่ใช้ปากของพวกเขาที่จะพูด คนฉลาดใช้สมองของเขา และคนที่ปราดเปรื่องจะใช้หัวใจของเขา
คนเรานั้นเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตและหาประสบการณ์ชีวิต
ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่เพื่อสนุกกับชีวิต และเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า ไม่ได้เพื่อทำงาน หากคุณใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำงาน คุณจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากเพียงใดก็ตาม คุณจะต้องจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ถ้าคุณยุ่งแต่กับการทำงาน ในที่สุดคุณจะต้องเสียใจ
เวทีแข่งขันและการแข่งขันในธุรกิจ
- พวกที่บ้าแข่งขันกันอย่างระห่ำนั้นคือพวกโง่
- หากคุณมองทุกคนรอบตัวเป็นศัตรู ทุกคนรอบตัวคุณก็จะเป็นศัตรูของคุณ
- หากคุณทำการแข่งขันกับคู่แข่ง อย่าพยายามใช้ความเกลียดชัง ความเกลียดจะทำให้คุณพ่ายแพ้
- การแข่งขันนั้นคล้ายกับการเล่นหมากกระดานหากคุณแพ้กระดานนี้ คุณก็มีโอกาสเล่นต่อในกระดานต่อไป ดังนั้นทั้งสองฝั่งไม่ควรจะสู้กันเอง
- นักธุรกิจที่แท้จริงนั้นไม่ควรมีศัตรูเลย หากใครเข้าใจจุดนี้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในโลกธุรกิจ
อย่าจู้จี้ขี้บ่นเป็นนิสัย
ถ้านานๆ ครั้ง ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากบ่นเป็นนิสัยแล้ว คุณก็จะยิ่งบ่นมากขึ้นไปอีก เปรียบได้กับดื่มน้ำทะเล ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหาย ดื่มไปไม่ได้ช่วยอะไร การบ่นก็เหมือนกัน การบ่นเยอะๆมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หนทางสู่ความสำเร็จนั้น คุณจะสังเกตได้ว่าผู้ที่สำเร็จมักจะไม่ขี้บ่น…
โลกนี้จำไม่ได้หรอกว่าคุณพูดอะไรไป แต่จะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ
คำแนะนำของ แจ็ค หม่า สำหรับผู้ประกอบการ
- โอกาสที่ทุกคนไม่เห็นนั้นคือโอกาสที่แท้จริง
- ต้องให้พนักงานคุณมาถึงที่ทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอ
- ลูกค้าต้องมาอันดับ 1, พนักงานอันดับ 2, และผู้ถือหุ้นมาอันดับ 3
- นำมาใช้และเปลี่ยนแปลงก่อนเทรนด์หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ จะเกิดขึ้น
- ลืมเรื่องเงิน ลืมเรื่องการหาเงินไปซะ
- แทนที่จะไปเสียเวลากับเทคนิคเล็กน้อยการเรียกลูกค้าใหม่ ควรมุ่งเน้นไปที่การครองใจและดูแลลูกค้าเก่า
- ทัศนคติของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน
การเป็นผู้ประกอบการ
- โอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะอธิบายชัดเจนไม่ได้ ส่วนสิ่งที่อธิบายชัดเจนได้นั้นมักจะไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด
- คุณควรจะหาคนที่มาทำให้บริษัทสมบูรณ์ขึ้น โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องหาคนที่ประสบความสำเร็จ หาคนที่ใช่ ไม่ใช่หาคนที่ดีที่สุด
- สิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลกนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
- คำว่า “ฟรี” เป็นคำที่แพงที่สุด
- วันนี้เป็นวันที่โหดร้าย พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จะแย่กว่า แต่มะรืนนี้จะเป็นวันที่สวยงาม
4 สิ่งต้องห้ามของผู้ประกอบการ
- สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการเริ่มต้นธุรกิจคือ การที่ไม่สามารถจะมองเห็น ประมาท ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักษาระดับได้
- ถ้าคุณไม่ทราบว่าคู่แข่งของคุณอยู่ที่ไหน มั่นใจเกินเหตุและประมาทคู่แข่งเกินไป ในที่สุดคุณก็จะตามหลังเค้า
“First they ignore you, then they laugh at you, then they fight you, then you win.” อย่าเป็น “they” ในประโยคข้างต้น
- ถึงแม้คู่แข่งของคุณยังเล็กหรืออ่อนแอ คุณควรประเมินเค้าอย่างจริงจังและปฏิบัติต่อเค้าเหมือนเค้าเป็นยักษ์ใหญ่
- ในทางเดียวกัน หากคู่แข่งของคุณเป็นยักษ์ใหญ่ คุณก็ไม่ควรมองตัวเองว่าอ่อนแอ
การเปิดบริษัทของคุณเอง
ความหมายของการเริ่มต้นบริษัทคือ คุณจะสูญเสียรายได้ที่มั่นคง คุณจะมีสิทธิ์หยุดได้ตามใจ จะได้โบนัสหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ อย่างไรก็ตาม มันก็หมายความว่า รายได้ของคุณก็จะไม่ถูกจำกัด คุณจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและคุณจะไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนอีกต่อไป
หากคุณมีความคิดที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ของคุณก็จะแตกต่าง ถ้าคุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่แตกต่างจากคนรอบข้างคุณ ชีวิตของคุณจะแตกต่างจากคนรอบข้างคุณ
โอกาส
ถ้าหากมีข้อเสนอนึงมาให้ แล้วคนส่วนใหญ่ (มากกว่า 90%) ตอบว่าข้อเสนอนี้มัน “ใช่” , ผมก็จะทิ้งข้อเสนอนั้นลงถังขยะในทันที
เหตุผลง่ายนิดเดียวคือ
“ถ้าหากมีคนอยู่เยอะที่คิดว่าข้อเสนอนี้ดี ย่อมแสดงว่าต้องมีคนอยู่อีกเยอะเช่นกันที่กำลังทำงานนี้อยู่ และโอกาสนั้นมันก็ไม่ได้เป็นของเราแล้ว”
ที่มา – VulcanPost
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557
![](http://3.bp.blogspot.com/-Az3rWTzx_g4/UYlYARv3-3I/AAAAAAAAI6c/NQpQpWOADcI/s000/date.png)
![](http://2.bp.blogspot.com/-LND4USO6kwY/UPYO14Ic45I/AAAAAAAADpU/B06gokV4O_w/s1600/user.png)
10 เรื่องจริง สัตว์กินคน เหตุการณ์จริงในอดีต
หลายครั้งหลายคราวที่เรามักจะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์สัตว์ทำร้ายมนุษย์ ซึ่งมันก็เกิดได้หลายสาเหตุเช่น พวกมันอาจจะป้องกันตัวเอง สภาวะทางอารมณ์ หรือสัญชาตญาณ วันนี้ทีนเอ็มไทยมี 10 เรื่องจริง สัตว์กินคน เหตุการณ์จริงในอดีต มาฝากเพื่อนๆ กันคะ 10 เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวครึกโครม เกี่ยวกับสัตว์ทำร้ายและกินคนเป็นจำนวนมาก ทำให้หลายๆคนขวัญผวาและกลัวเป็นอย่างมาก
George Rushby – The lions of Njombe
10 เรื่องจริง สัตว์กินคน เหตุการณ์จริงในอดีต
10. The lions of Njombe
เกิดขึ้นปี 1932 ในแทนซาเนียใกล้เมืองจ็อมเบ เกิดเหตุการณ์ฝูงสิงโตยักษ์ออกมาฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง เรื่องมีอยู่ว่าสิงโตได้รับการควบคุมโดยแม่มดหมอผีในชนเผ่าท้องถิ่นชื่อมาตามูลา แมนเกรา (Matamula Mangera) ที่เธอมักส่งฝูงสิงโตออกมาทำร้ายคนหากใครก็ตามที่ลบหลู่เธอหรือต่อต้านเธอ แม่มดมาตามูลา มีอำนาจบาตรใหญ่มากขนาดหัวหน้าเผ่าอื่นๆ ไม่กล้ายุ่งกับเธอเลย
ฝูงสิงโตของเธอนั้นได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปถึง 1,500 ศพ (บางคนบอกว่า 2,000 คน) และนี้คือเหตุการณ์สิงโตทำร้ายมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และหนึ่งใน กรณีของสัตว์ทำร้ายมนุษย์เลวร้ายที่สุดที่เคยบันทึกไว้
จนกระทั้งจอร์จ (George Rushby 1900–1968) นายพรานที่มีชื่อเสียงได้ตัดสินใจ ปราบฝูงสิงโตนั้น เขาฆ่าสิงโตไป 15 ตัวและทำให้เหตุการณ์สิงโตทำร้ายคนยุติลงในที่สุด และเรื่องราวของจอร์จได้ถูกนำมาสร้างละครกึ่งสารคดี BBC ในชื่อ “The Man-eating Lions of Njombe.” ออกอากาศในเดือนกรกฎาคม 2005
10 เรื่องจริง สัตว์กินคน เหตุการณ์จริงในอดีต
9. Two Toed Tom
“ทอมสองขา” เป็นจระเข้กินคนที่ค่อนข้างคลุมเครือ และยากจะทราบได้ว่า เรื่องของจระเข้ตัวนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่ตำนาน จระเข้ตัวนี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ มากันมาของอเมริกาทางตอนใต้ อาศัยอยู่ในบึ่ง terrorized ในรัฐอลาบามา ชายแดนฟอริด้า ชื่อของมันมีที่มาจาก ขาของมันมีสองเท้า เนื่องจากขาของมันหายไปเพราะโดนกับดักเหล็กจนขาขาด และนั้นเป็นสาเหตุทำให้มันเจ็บแค้นมนุษย์ และเริ่มออกอาละวาดทำร้ายมนุษย์ ในช่วงยุค 20 หลายคนอ้างว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าสี่เมตรครึ่ง มันน่ากลัวมากเหมือนมันเป็นปีศาจส่งมาจากนรกเพื่อล่าพวกเขา มันชอบกินวัวและมนุษย์ผู้หญิง (มันชอบคว้ากระชากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้วลากลงไปกินในน้ำ)
แม้นายพรานท้องถิ่นจะมีการใช้ปืนหรือระเบิดแต่ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้ จนกระทั้งมีนายพรานหนึ่งโยนถังที่เต็มไปด้วยระเบิด สิบห้าถังลงไปในน้ำ และจุดให้มันระเบิด ทอมก็หายไป แต่หลายคนเชื่อว่าทอมน่าจะยังมีชีวิตอยู่และรอคอยโอกาสที่จะแก้แค้นตามแบบฉบับของมันและก็เป็นจริงๆ ทอมก็ปรากฏตัวมาอีกครั้ง และได้กินลูกสาวของคนโยนระเบิด และบรรดาเด็กๆ ของเกษตรกรที่อยู่ตามชายฝั่ง ก่อนที่มันจะหายไปไม่กลับมาอีกเลย
มีหลายคนบอกว่าเรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้าน หากแต่ชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่าเป็นเรื่องจริง และเชื่อว่ามันยังคงเดินเตร่อยู่ในหนองน้ำฟอริด้าหลายปีจากนั้นมีรายงานพบเห็นมันต่อเนื่องถึง จระเข้ขนาดใหญ่สองขาอยู่เป็นระยะและที่สำคัญคือทอมไม่เคยถูกจับได้เลย
Kesagake
8. Kesagake
”หมีสีน้ำตาลบุกหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ (The Sankebetsu brown bear incident)” เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเกี่ยวกับการ โจมตีของหมีสีน้ำตาลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่โจมตีหมู่บ้าน ซันเคซาเบ๊ะทสึ เมืองโทมาม่า ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 9 เดือน ธันวาคม ถึง 14 ธันวาคม 1915 โดยสมัยก่อนนั้นหมู่บ้านแห่งนี้พึ่งจะมีคนอยู่อาศัย กำลังบุกเบิก จำนวนคนในหมู่บ้านน้อยมากและส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนป่าเขา และพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของหมีเพศผู้ ขนาดยักษ์ที่หลายคนเรียกมันว่า “เคะซากาเกะ” ซึ่งมันชอบขโมยข้าวโพด จนสร้างความรำคาญในแก่ชาวบ้าน มันเลยถูกยิงจนบาดเจ็บแล้วหนีขึ้นบนเขา เมื่อมันหนีไป ชาวบ้านก็รู้สึกโล่งใจเพราะหมีคงจะรู้สึกกลัวคนและอยู่ห่างจากพืชผลของเขา หากแต่พวกเขาคิดผิด!!
9 ธันวาคม 1915 เวลา 10.30 น. เจ้าหมียักษ์กลับมาอีกครั้ง มันเริ่มออกปฏิบัติการ แก้แค้นฉบับเลือดต้องล้างด้วยเลือด มันเลือกเหยื่อรายแรกของมันคือครอบครัว โอตะ (ota Family) ในขณะนั้นอาเบะ เมยูและฮายูมิ มิกิโอะ (Abe Mayu and Hasumi Mikio) ภรรยาของครอบครัว และทารกที่เธอดูแลอยู่ก็ถูกเจ้าหมีตัวบุกเข้า มาในบ้านเพื่อหมายฆ่าคนทั้งสอง ทารกถูกกัดศีรษะจนเสียชีวิต ส่วนฝ่ายหญิง พยายามต่อสู้โดยสาดฟืนเข้าใส่ แต่ท้ายสุดเธอก็ถูกหมีลากเข้าป่า และเมื่อชาว บ้านมาถึงที่เกิดเหตุถึงกับต้องตะลึง โดยพวกเขาบรรยายว่าเหมือนโรงฆ่าสัตว์ไม่มีผิด เพราะเลือดสาดกระจายทั้งบนพื้นและผนัง
ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้นหมี พวกเขาเลยจับกลุ่มสามสิบคนบุกเข้าป่าและพยายามยิงมันแต่มันก็หนีไปได้ หลังจากพวกเขาสำรวจบริเวณรอบๆ ก็พบชิ้นส่วนศพที่มีเพียงหัว และชิ้นส่วนที่เหลือของฝ่ายหญิงฝังอยู่ใต้หิมะ คาดว่าหมีคงเก็บอาหารของมันไว้กินภายหลัง และหลังจากนั้นคืนถัดมา (8.00 น.) หมีก็กลับมาที่ฟาร์มโอตะอีกครั้ง ซึ่งชาวบ้านบางส่วนได้จับกลุ่มรอเตรียมรับมืออยู่แล้ว ชาวบ้านพยายามยิงหมีแต่ว่ามันก็รอดไปอีก โชคดีเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีใครบาดเจ็บ
บ้านที่เกิดเหตุการณ์
ในเวลาไม่นานนัก เจ้าหมีได้เลือกครอบครัว มิโซเค (Miyoke family) ซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่นที่ไร้ทางป้องกัน (เพราะไม่นึกว่าหมีจะมา) ซึ่งเจ้าหมีตัวนี้ฆ่าคนในครอบครัวนี้อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเวลานั้นภรรยาที่ตั้งครรภ์ของครอบครัวยาโย (Yayo) กำลังเตรียมอาหารและได้ยินเสียงข้างนอกดังก้อง และไม่ทันที่จะตรวจสอบหมีก็บุก เข้าทางหน้าต่างแล้วเข้ามาในบ้าน หม้อปรุงอาหารพลิกคว่ำ เปลวไฟและความหวาดกลัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอพยายามหนีออกจากบ้าน แต่เด็กสองคนในบ้านหนีไม่ทันจึงถูกฆ่าตาย และหญิงที่ตั้งครรภ์หนีไม่ไหวร้องขอชีวิตลูกในครรภ์ของเธอ แน่นอนมันไร้สาระ เจ้าหมีก็ฆ่าเธอเช่นเดียวกันเหยื่อก่อนหน้าของมัน
เมื่อพวกชาวบ้านมาถึงพวกเขาก็พบร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็กสองคน และหญิงและตัวอ่อนในครรภ์ทั่วพื้นดิน เจ้าหมีตัวนี้ใช้เวลาเพียงสองวันฆ่าคนทั้งหกคนจนทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นหวาดกลัวเป็นอันมาก หลังจากนั้นเจ้าหมีก็ถูกไล่ล่าอย่างหนัก (ระหว่างนั้นมันก็อาละวาดฆ่าคนไปไปด้วย)
จนในที่สุดเรื่องก็จบลงเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมนายพรานคนหนึ่งได้ยิงหมีที่เชื่อว่าเป็น ตัวต้นเหตุได้ มันมีขนาดยาวกว่าสามเมตร หนักกว่า 380 กิโล เมื่อผ่าท้องมาก็พบ ชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในกระเพาะอาหารของมัน และแล้วเหตุการณ์สัตว์โจมตีที่เลวร้าย ที่สุดในญี่ปุ่นก็จบลง หากแต่ชื่อของเจ้าหมีตัวนี้ก็ปรากฏอยู่ในนิยายและละครมากมาย
ปัจจุบันหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึกลายเป็นที่ร้างคน แต่มียังมีการจำลองแสดง เหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีรูปจำลองของหมีและบ้านโอตะที่หมีเคยมาอาละวาดตั้งอยู่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และการ์ตูนมังงะโบราณอย่าง “ไอ้เขี้ยวเงิน” หนึ่งในหมี ที่เป็นศัตรูกับไอ้เขี้ยวเงินนั้น มีหมีตัวหนึ่งนำมาจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
ชมคลิป .. http://www.youtube.com/watch?v=u3NuxLb9udQ
The New Jersey Shark
7. The New Jersey Shark
คุณเคยดูหนังสัตว์ทำร้ายคนคลาสสิกเรื่อง “Jaws (1975)” ที่กำกับโดยสตีเว่น สปิลเบิร์ดไหม ที่เกี่ยวกับฉลามขนาดยักษ์ทำร้ายคน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นโดยมีเค้าโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่อง “Jaws (1974)” ของปีเตอร์ เบนช์ลีย์ ซึ่งก็มีข้อมูลมาจากเรื่องจริง ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกขานว่า “Jersey Shore shark attacks of 1916 ” หรือ “เดอะ นิวเจอร์ซีย์ ชอร์”
เป็นเหตุการณ์ฉลามขาวยักษ์ (ไม่รู้ว่ามาตัวเดียวหรือมีมากกว่าหนึ่งตัว) ทำร้ายคนอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง นอกชายฝั่งของมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ในสหรัฐอเมริการะหว่างช่วงฤดูร้อนของ วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 12 กรกฎาคม ปี 1916 เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตไป 4 รายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง (พูดง่ายๆ คือไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง) เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลทำให้ชุมชนริมทะเลและรีสอร์ทราย ล้อมชายหาดที่เกิดเหตุจ้องเพิ่มการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าการเอาตาข่ายมากันไม่ให้คนเข้าใกล้ชายหาดเลยทีเดียว
พาดหัวข่าวเหตุการณ์ห “Jersey Shore shark attacks of 1916 ” หรือ “เดอะ นิวเจอร์ซีย์ ชอร์”
สมัยก่อนนั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อว่าฉลามนั้นเป็นสัตว์ทำร้ายคน แต่เหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องคิดเสียใหม่ (แม้จะเป็นกรณีที่หายากมาก) โดยทุกอย่างเริ่มขึ้นที่แนวชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์เหยื่อรายแรก คือหนุ่มชาร์ลส์ แวนแซงท์(Charles Vansant) ถูกฉลามทำร้ายในน้ำตื้นมากในขณะว่ายน้ำกับสุนัข คนหลายคนเห็นฉลามทำร้ายต่างพยายามช่วยเหลือชายหนุ่มคนนั้น แต่ว่าฉลามกัดแน่นมากมันกัดจนขาของเขาฉีกขาดจนเขาขาดใจตายก่อนส่งถึงโรงพยาบาล
ห้าวันต่อมาก็มีเหยื่ออีกคน คือชาร์ลส์ (Charles Bruder) ถูกฉลามทำร้ายในขณะว่ายน้ำห่างจากชายฝั่ง ตอนแรกหลายคนคิดว่าเขากำลังพายเรือแคนูสีแดง หากแต่ความจริงคือ ฉลามยักษ์ที่เต็มไปด้วยเลือดที่มาจากขาที่ฉีกขาดของเขาต่างหาก ซึ่งกว่าจะช่วยเขาก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะว่าเขาขาดใจตายก่อนที่จะขึ้นชายหาดเสียอีก
แม้ว่าจะมีพยานหลายคนบอกว่าฉลามโจมตีมนุษย์ แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ก็แจ้งเตือนประชาชนว่า ตัวการร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็น วาฬเพชฌฆาตหรือเต่าทะเล!! จากนั้นก็มีรายงานเห็นฉลามในพื้นที่ชายหาดใกล้นิวเจอร์ซีย์มากมาย
The New Jersey Shark 1916
ในวันที่ 12 กรกฎาคมเด็กอายุ 11 ปีถูกทำร้ายโดยฉลาม และลากเขาไปใต้น้ำ คนที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าไปช่วย ชายคนหนึ่ง ชื่อ สแตนเลย์ ฟิชเชอร์ (Stanley Fishe) พยายามช่วยเหลือเด็ก หากแต่เขาถูกทำร้ายโดยฉลาม และเสียชีวิตจากบาดแผล และเหยื่อที่ห้ารายสุดท้ายคือเด็กหนุ่มอายุ 14 ชื่อ โจเซฟ ดันน์ (Joseph Dunn) ที่ถูกฉลามโจมตีทั้งๆ ที่เวลาพึ่งผ่านไป 30 นาที หลังจากฉลามทำร้ายสแตนเลย์ ฟิชเชอร์ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขาเป็นเหยื่อเพียงหนึ่งเดียวที่รอด
จนกระทั้ง 14 กรกฎาคม ชายคนหนึ่งชื่อไมเคิล (Michael Schleisser) ได้จับฉลามขาวที่ยาวกว่า 2.3 เมตร หนัก 147 กิโล ได้ในอ่าวราริแทน ซึ่งฉลามตัวนี้พยายามทำร้ายเขาโดยการทำให้เรือจม แต่เขาก็ได้ฆ่ามันด้วยไม้พายที่หัก เมื่อเขาเปิดกระเพาะของมันออกก็มีชิ้นส่วนศพของหญิงสาวติดมาด้วย และหลังการจับฉลามนี้ได้ ก็ไม่มีเหตุการณ์ฉลามโจมตีในชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์อีกเลย
ดูเพิ่มเติม http://weirdnj.com/stories/matawan-man-eater/
The Bear of Mysore
6. The Bear of Mysore
หมีแห่งมัยซอร์ เป็นชื่อของหมีสลอทที่ดุร้าย ก้าวร้าวจนผิดปกติ และออกอาละวาดฆ่าคนตามเมืองต่างๆ ในมัยซอร์ ประเทศอินเดีย และมันฆ่าคนอย่างน้อย 12 คนซึ่งโดยปกติแล้วหมีชนิดนี้เป็นสัตว์กลัวคน และไม่ทำอันตรายต่อใคร อีกทั้งมันไม่กินเนื้อคน ซึ่งมันชอบกินแมลงปลวก ผลไม้ และน้ำผึ้งเป็นพิเศษ แต่หมีแห่งมัยซอร์กลับทำร้ายคน ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่า อะไรที่ทำให้มันดุร้ายถึงขนาดนี้
บางคนเชื่อว่าหมีตัวนี้โกรธแค้นที่มนุษย์ขโมยลูกของมัน บางคนเชื่อว่าคู่ของมันถูกลักพาตัวไป และบางคนเชื่อว่าสาเหตุ เนื่องจากมันเคยมีประสบการณ์ที่ตกเป็นของเล่นของมนุษย์ที่ป่าเถื่อน จะด้วยเหตุผลใดก็ตามมันก็ได้เป็นเครื่องจักรนักฆ่าโดยสมบูรณ์แบบ
โดยมันจัดการฆ่ามนุษย์กว่าโหลโดยฉีกใบหน้าเหยื่อด้วยกาม และฟันของมัน (และกินชิ้นส่วนศพบางส่วน) ซึ่งเหยื่อบางคนมีชีวิตรอดหากแต่ก็พิการโดยสมบูรณ์มันออกอาวะลาดฆ่าคนทั้งกลางวันและกลางคืน สุดท้ายมันก็ถูกฆ่าโดย เคนเน็ธ แอนเดอร์สัน (Kenneth Anderson 1910-1970 นักล่าและนักเขียนชาวอินเดีย ที่เขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในป่าทางใต้ของอินเดีย) ซึ่งเขาได้บันทึกความทรงจำนี้ในหนังสือ Man-Eaters and Jungle Killers
The Beast of Gevauden
5. The Beast of Gevauden“สัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง”
เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สัตว์ทำร้ายคนที่ลึกลับกว่าอันดับทั้งหมดใน 10 เรื่องจริง สัตว์กินคน เหตุการณ์จริงในอดีต นี้ โดยเหตุการณ์นี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1764 -1767 ที่เมืองเชโวดอง แคว้นโอแวร์ญ ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ในทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
จู่ๆ มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ออกอาละวาดไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ (เหยื่อรายแรกเป็นเด็กสาว เมื่อมิถุนายน 1764) ส่วนจำนวนของ ”สัตว์ร้าย” ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย
แต่ก็พอสรุปว่า มันเหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคม (ใหญ่กว่าหมาป่าปกติ) และหางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไป คือ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด (หลายฝ่ายเชื่อว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ)
The Beast of Gevauden“สัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง”
โดยสถานที่มันปรากฏตัวมากที่สุดคือปศุสัตว์และทุ่งเลี้ยงสัตว์ (และป่าเขาทางเดินสัญจร) จากรายงานมี 210 คนถูกทำร้าย 113 ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต และ 98 ถูกกิน ทำให้หลายคนเชิญว่าเป็นเป็นปีศาจที่มาจากนรก มีนายพรานหลายราย ที่พยายามที่จะล่ามันแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า
จนกระทั้งปี 1767 นายพรานท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อจีน ชาลเตล(Jean Chastel)ได้จัดการเป่า มันด้วยปืนคาบศิลา (บางตำนานบอกว่าใช้กระสุนเงินยิงมันและเมื่อจัดการผ่าท้องมันก็พบศพเหยื่อรายสุดท้ายที่มันกินด้วย) ก่อนที่นำซาก “สัตว์ร้าย” ไปสตั๊ฟและ ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก่อนที่จะนำซากนั้นไปฝัง และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “เจ้าสัตว์ร้าย” ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกเลย ตลอดกาล
สิงโตคู่ Tsavo maneaters ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์
4. The Ghost and the Darkness
ผีร้ายและความมืด เป็นชื่อของสิงโตคู่กินคนที่ออกอาละวาดฆ่าคนงานก่อสร้างแรงงานทางรถไฟจากเคนย่าไปยูกันดา ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม 1898โดยหลายคนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า “Tsavo maneaters”
มันเริ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทวีปแอฟริกา ในเดือนมีนาคม 1898 ทางการอังกฤษได้เริ่มต้นสร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำซาโว ในเคนย่าโครงการนี้ควบคุมโดย พ.ตท.จอห์น เฮนรี่ แพ็ตเตอร์สัน(John Henry Patterson) ในช่วงแรกพวกคนงานต้องผจญกับสัตว์ป่าที่ทำร้ายพวกเขา เนื่องจากพวกเขา สร้างทางรถไฟในเขตป่า แต่กระนั้นในเหตุการณ์เหล่านี้ก็สามารถควบคุมได้อยู่หมัด
จนกระทั้งเก้าเดือนต่อมามัจจุราชที่แท้จริงก็ปรากฏ เมื่อจอห์นได้รับรายงานจากคนงานว่าพวกเขากำลังผจญหน้ากับสิงโตคู่เพศผู้ พันธุ์ซาโว (เป็นสิงโตพันธุ์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่และมักร่วมมือสิงโตเพศเดียวกันตัวอื่นเพื่อล่าอาหาร จุดเด่นคือมันไม่มีแผงขนที่คอ) ที่มันมักลากพวกคนงาน (ส่วนมากเป็นชาวอินเดีย) จากเต้นท์ของพวกเขาในเวลากลางคืนและกลืนพวกเขาเป็นอาหารมาหลายราย
คนงานพยายามป้องกันสิงโตคู่นี้โดยการทำรั้วหนามรอบๆ ค่าย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันมัจจุราชคู่นี้ได้เลย เพราะว่ามันฉลาดพอในการแก้ปัญหานี้ โดยการคลานผ่านรั้วลวดหนาม หลายครั้งก็ทวีความรุนแรงและน่ากลัวขึ้น เพราะมันเริ่มล่าทั้งกลางคืน กลางวัน จนทำให้คนงานหวาดกลัวพวกมันอย่างมากและเรียกขานพวกมันว่าผีร้ายและความมืด
“The Man-Eaters of Tsavo(1907)”
พวกมันมีเขี้ยวที่ยาวเป็นพิเศษทำให้พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกมันไม่ใช่สิงโตแต่เป็นปีศาจร้ายที่หลุดมาจากนรก ในขณะที่บางคนเชื่อว่าสิงโตนี้เป็นร่างเกิดใหม่ของกษัตริย์โบราณของท้องถิ่นที่พยายามขับไล่ผู้รุกรานอังกฤษ (เป็นความเชื่อของ แอฟริกาตะวันออกที่เชื่อว่าสิงโตเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของกษัตริย์) คนงานหลายคนลังเลที่จะสร้างสะพานต่อ และบางคนหนีออกจากค่ายดีกว่าจะรอเป็นเหยื่อของสิงโตปีศาจ
เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลทำให้จอห์นต้องหยุดงานทำสะพาน และเริ่มออกล่าสิงโตคู่นี้ชนิดเอาเป็นเอาตาย เขาวางกับดักและพยายามเกาะรอย ดักฆ่ามันในตอนกลางคืนจากต้นไม้ แต่กระนั้นจอห์นก็ไม่สามารถฆ่าสิงโตคู่นี้ได้เสียที จนกระทั้งเขายิงสิงโตตัวแรกได้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1898 (เขาใช้เวลานานถึง 9 เดือน) และสามสัปดาห์ต่อมาเขาก็ฆ่าสิงโตตัวที่สองได้ โดยสิงโตทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่ถึง 3 เมตร (วัดจากจมูกถึงปลายหาง) นอกจากนี้จอห์นและคณะยังพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของมันซึ่งได้พบซากของผู้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตจำนวนมาก มีทั้งกระดูก เสื้อผ้าและเครื่องประดับ
หลังจากที่จอห์นจัดการสิงโตทั้งคู่ได้สำเร็จ เขาก็กลับมาทำสะพานต่อจนสำเร็จลุล่วงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1899 และจอห์นได้เขียนหนังสือที่เล่าเหตุการณ์นี้ในชื่อ “The Man-Eaters of Tsavo(1907)” โดยจำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อสิงโตคู่นั้น ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่หลายคนเชื่อว่าเหยื่อน่าจะสูงถึง 135-140 คนหรือมากกว่านั้น ในปี 1924 ขนสตั๊มฟ์ของสิงโตคู่นี้ถูกขายให้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่ ชิคาโกในราคา 5,000 เหรียญสหรัฐ ในสภาพดีมาก
Jim Corbett 1875-1955 นายพรานชาวอังกฤษ
3. The Panar Leopard
จริงอยู่ที่เสือดาวนั้นเป็นชนิดที่มีขนาดเล็กในจำนวนสัตว์ตระกูล “แมวใหญ่” และมักไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่ามัน หากแต่ที่จริงแล้วเสือดาวนั้นเป็นนักล่าเก่าแก่ที่สุดที่เรารู้จักจากการพบฟอสซิลกระดูกญาติๆ ของมันก็บ่บอกได้ว่าเจ้าแมวลายตัวนี้เคยรับประทานบรรพบุรุษของมันมากกว่าสามล้านปีที่ผ่านมา
ดังนั้นขอเพียงแค่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมล่ะก็แมวดำจะทำร้ายมนุษย์ทันที และเมื่อมันพบว่ามันพอใจเนื้อมนุษย์มากกว่าอาหารอื่นๆ มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง เหมือนในกรณีเสือดาวแห่งพานาร์ซึ่งเป็นเสือดาวกินคนที่ออกล่ากินคนในช่วงศตวรรษที่ 20 ในอำเภอคามาออน (Kamaon) ทางภาคเหนือของอินเดีย ที่ว่ากันว่ามันฆ่าและกินคนถึง 400 คน แต่สุดท้ายวลีที่ว่า
The Panar Leopard
“สุดท้ายมนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์ที่น่ากลัว” นั้นคงจะจริง เพราะเจ้าเสือดาวนั้นได้พลาดท่า ถูกกระสุนนายพรานจนได้รับบาดเจ็บ มันหนีเข้าป่าและไม่ล่ามนุษย์อีกเลย และในปั่นปลายชีวิตสุดท้ายของมันทำได้แต่เพียงหนีนักล่าที่ไล่ล่ามันเท่านั้น
และผลสุดท้ายมันก็จบชีวิตในปี 1910 โดยนักล่าในตำนานจิม คอร์เบ็ตต์ (Jim Corbett 1875-1955 นายพรานชาวอังกฤษ นักล่า นักอนุรักษ์ และนักธรรมชาติวิทยา ที่มีชื่อเสียงในการฆ่าเสือและเสือดาวกินคนในประเทศอินเดีย เขาได้เขียน หนังสือ Man-Eaters of Kumaon ที่เล่าประสบการณ์ของเขาในการล่าเสือดาว แห่งพานาร์ จนโด่งดัง และอินเดียได้ตั้งชื่อเขตอุทยานแห่งชาติในคามาออนเป็น ชื่อของเขาเพื่อเกียรติต่อเขาในปี 1957)
The Champawat Tigress
2. The Champawat Tigress
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชายแดนประเทศเนปาลและเมืองคาเมออน ประเทศอินเดียและ ได้เกิดอสูรกายซึ่งเป็นเสือเบงกอลตัวหนึ่งไล่ล่าคนจำนวนมาก มันชอบซุ่มทำร้ายคนกลางป่าเขา มีชายหญิงและเด็กตกเป็นเหยื่อมากมาย หลายคนืเริ่มออกมากล่าวขนานมันว่ามันเป็นปีศาจหรือสิ่งที่ลงมาจากเบื้องบนเพื่อลงโทษพวกเขา มันชื่อ “เสือร้ายแห่งซัมพาวัต” และที่น่าสนใจคือ “มันเป็นเสือตัวเมีย”
เสือร้ายแห่งซัมพาวัตได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเสือที่ฆ่าคนกว่า 436 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการอ้างในเอกสารการเสียชีวิตของราชการเนปาลและอินเดีย แต่กระนั้นมันก็ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นสัตว์ตัวเดียวที่ฆ่ามนุษย์มากที่สุดในโลก หลังจากที่มันฆ่าคนกว่า 200 คนในเนปาล ส่งผลทำให้ทางรายการไม่อยู่เฉย พวกเขาจัดการส่งกองทัพแห่งชาติเนปาลข้ามพรมแดนอินเดียเพื่อไปฆ่ามัน และนี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ที่มีการใช้ทหารจำนวนมากในการฆ่าสัตว์เพียงตัวเดียว
แต่ปรากฏว่าล้มเหลวและกลายเป็นว่ามันกลับเพิ่มชื่อเสียงให้แก่เสือตัวนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มันเพิ่มความกล้าหาญถึงขั้นข้ามพรมแดนเข้าสู่หมู่บ้านชัมพาวัต ประเทศอินเดีย มันโจมตีกลางวันแสกๆ และหากินรอบๆ หมู่บ้านจนทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกจากกระท่อม และพวกเขามักหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคำรามของมันจนทางการอินเดียถึงขั้นเขียนป้ายเตือนว่าจุดนี้เป็นสถานที่ของเสือแห่งซัมพาวัตออกมาโปรดเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น และรัฐบาลอินเดียติดประกาศหานายพรานมือฉมังไปจัดการอย่างเร่งด่วน
สุดท้ายเจ้าเสือตัวนี้ก็ถูกยิง โดยจิม คอร์เบ็ตต์ (คนเดียวกับอันดับ 3) ในปี 1911 ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านยกย่องเขาจนเปรียบเสมือนพราหมณ์ที่เบื้องบนส่งมาโปรด (นอกจากนั้นเขายังไม่เอาเงินรางวัล) และเรื่องราวประสบการณ์เหล่านี้ได้ถูกเขียนในหนังสือ Maneaters of Kumaon (1944)
Gustave
1. Gustave
จากอันดับทั้งหมดส่วนใหญ่สัตว์ที่ฆ่ามนุษย์นั้นมักพบจุดจบด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้นหากแต่ยกเว้นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง มันคือ “กุสตาฟ” จระเข้แม่น้ำไนล์ ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและของโลก (จระเข้เลี้ยงและใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศไทย ยาว 6 เมตรเช่นกัน)
มันอาศัย และอาละวาดคนในบริเวณแม่น้ำลูซิซิและชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลสาปแทนแกนยิกา ประเทศบุรุนดี ทวีปแอฟริกา ด้วยความยาวกว่าหกเมตร (ในปี 2004 มีการประมาณว่า มันมีอายุ 60 ปี ยาวกว่า6.1 เมตร หนักกว่า 1 ตัน จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่หลายคนขนานนามว่ามอนสเตอร์ แห่งแอฟริกา รวมไปถึงมันเป็นสัตว์นักล่ากินคนด้วยมัน ได้ฆ่าคนกว่า 300 คนและอาจมากขึ้นในอนาคต เพราะจนบัดนี้มันยังคงมีชีวิต ไม่ได้หายไปไหน และไม่ได้ ถูกฆ่าแต่อย่างใด และมันเป็นสัตว์ฆ่ามนุษย์เพียงตัวเดียวที่ยังเป็นตำนานที่ยังมีลม หายใจชีวิตอยู่ ( เหยื่อ 300 รายนั้นไม่ได้ถูกบันทึกเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริงของคนพื้นเมือง)
กุสตาฟถูกตั้งชื่อโดย แพทริช เฟย์ (Patrice Faye) ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งถิ่นฐานในบุรุนดีและพยายามที่จะจับมันตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเขาพยายามนำกรงเหล็กใหญ่ล่อมัน แต่จระเข้นั้นฉลาดมาก ไม่เคยหลงกลติดกับแม้แต่หนเดียว แถมมันเยาะเย้ย ทีมงานของแพทริชอีก แต่กระนั้นภาพของมันก็ถูกบันทึกออกอากาศทาง PBS พฤษภาคม 2004
ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างบอกว่าสาเหตุที่มันล่ามนุษย์นั้น เพื่อความสนุกสนานของมันเท่านั้น หลักฐานคือเอกลักษณ์ประจำตัวมันคือเมื่อมันฆ่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์แล้วมันจะเหลือซากทิ้งไว้ไม่ได้กินหมดแต่อย่างใด อีกทั้งมันฉลาดมากเพราะเมื่อมันฆ่าคนแล้วมันจะหายไปอาจนานเป็นเดือนหรือเป็นปีมันจะออกมาอีกครั้งในสถานที่แตกต่างกันเพื่อฆ่าอีกครั้ง จนไม่มีคาดการได้ว่ามันจะปรากฏที่ใด
นอกจากเจ้าจระเข้นี้ยังมีความต้องการอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นฆ่าช้างน้ำฮิปโปโปเตมัสตัวเต็มวัยได้ (ฮิปโปโปเตมัสเป็นสัตว์อันตรายมาก และเป็นสัตว์ที่จระเข้ไม่กล้ากินพวกมันและพยายามหลีกเลี่ยง) เกราะร่างกายของเจ้ากุสตาฟนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น มีด หอก หรือแม้กระทั้งอาวุธปืน มันสามารถเอาชีวิตได้แม้ว่าจะมีนายพรานหรือทหารติดอาวุธมาล่ามันก็ตาม และตำนานของมันได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Primeval (ชื่อไทย โคตรเคี่ยมสะพรึงโลก)
คลิปความน่ากลัวที่หลายคนขนานนามว่า “โครตไอ้เข้” .. http://www.youtube.com/watch?v=s6u0qYUfUwc&feature=player_embedded
เรียบเรียง teen.mthai.com
ขอบคุณข้อมูล redheat atcloud.com,www.oknation.net,weirdnj.com
วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557
![](http://3.bp.blogspot.com/-Az3rWTzx_g4/UYlYARv3-3I/AAAAAAAAI6c/NQpQpWOADcI/s000/date.png)
![](http://2.bp.blogspot.com/-LND4USO6kwY/UPYO14Ic45I/AAAAAAAADpU/B06gokV4O_w/s1600/user.png)
เป็นความโชคดีของมนุษย์รุ่นเราๆ ที่ไม่ได้เกิดและใช้ชีวิตในยุคเดียวกับแมงป่องยักษ์และผองเพื่อน ลองไปดูกันว่าแต่ละตัวนั้นโหดร้ายและน่ากลัวยังไงกันบ้าง รับรองว่าเห็นแล้วคุณจะไม่หิวแน่นอน
๑. จระเข้ยักษ์ (Purassaurus)
Purassaurus เป็นจระเข้ยักษ์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้เมื่อประมาณ 8 ล้านปีที่แล้ว วัดความยาวสูงสุดได้ถึง ๑๓ เมตร ซึ่งยาวกว่า ๒ เท่าของจระเข้สายพันธุ์ที่ยาวที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
๒. แมงป่องยักษ์ยาว ๓ ฟุต (Pulmonoscorpius)
Pulmonoscorpius มีลักษณะเหมือนแมงป่องในยุคปัจจุบันนี่หล่ะ ที่มีกรงเล็บอยู่ด้านหน้าและเหล็กในที่หางของมัน ต่างกันแค่ความยาวเท่านั้นเอง
๓. กิ้งกือยักษ์ (Arthropleura)
Prof. Jrg Schneider (Freiberg University of Mining and Technology) a prepartor Holger Rathaj (Museum of Natural History, Chemnitz) u modelu lenovce Arthropleura armata.
Arthropleura ก็เหมือนกิ้งกือยุคนี้แหละครับ เพียงแต่มันมีความยาว ๒ เมตร!
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGeEEitbvXhvsik1UxyIScaI6GBaOf33MJkcBWpA_WGP5SURJrzd-9PkkVc48oWWJGkUA0CMndWH_fgMaDlOt8TAQRK1Dn9YdKhJqai8dXhyIBUey7AqxecM_L_FWyTKYhHPsJnI4PlUI/s1600/IMG_0489.jpg)
๔. แมงมุมที่มีเหล็กในเหมือนแมงป่อง (Attercopus)
Attercopus เป็นแมงมุมรุ่นบุกเบิกที่รู้จักกันมาช้านาน นอกจากจะผลิตใยแมงมุมได้แล้ว ยังมีเหล็กในเหมือนแมงป่องด้วย
๕ ปลาฉลามยักษ์ (Megalodon)
Megalodon มีความยาวสูงสุดถึง ๕๐ ฟุต
๖. สัตว์ประหลาดยักษ์ที่เป็นพันธุ์ผสมระหว่างกิ้งกือกับแมงป่องโดยอาศัยอยู่ในน้ำ (Jaekelopterus)
Jaekelopterus มีความยาว ๒.๕เมตร และอาศัยอยู่ในน้ำ นักวิจัยบอกว่า ถ้ามีสัตว์ตัวอื่นอยู่ตรงหน้ามัน มันจะพุ่งเข้าหาและฉีกให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆรับประทานทีละชิ้นๆ
๗. ปลาปิรันย่ายักษ์ (Megapiranha)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijh_UZ5ZZh3MxwXlisMK8arQqDTdu0dW25xrwteM6VTN-T22ECm97SUoJD4rTOeys004PvQaZDqBvBCdQsiMc1IsTH0PQ52T7pb4VwhRdvlV519XWlvw0WyNtLlE9jBh4JHNi-Fy-wQQby/s1600/22+-+Mega+Piranha.jpg)
Megapiranha มีชีวิตอยู่ในช่วง 8-10 ล้านปีที่แล้ว ความยาวประมาณ 1 เมตร
๘. งูสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Titanoboa)
Titanoboa มีความยาวถึง ๑๓เมตร และหนักมากกว่า ๑ ตัน อาศัยอยู่ในเขตร้อนช่วง ๖๐ ล้านปีที่แล้ว มันจะกินเหยื่อโดยบดให้ละเอียดเหมือนงูเหลือมยักษ์ ละเอียดเหมือนยาสีฟันที่อยู่ในหลอดเลย
๙. แมลงปอยักษ์ (Meganeura)
Meganeura มีความยาวระหว่างปลายปีกทั้งสองข้างถึง ๗๐ เซนติเมตร ประมาณแขนข้างหนึ่งของคนเราเลยทีเดียว
๑๐. สัตว์ประหลาดใต้น้ำที่มีหน้าตาเหมือนกุ้งผสมกับปลาหมึก แถมมีฟันติดมาด้วย (Anomalcaris)
Anomalcaris มีเปลือกและหางเหมือนกุ้ง แต่มีหนวดและตาเหมือนปลาหมึก เพียงแต่มีฟันติดหนวดมาด้วย โตเต็มที่จะยาวประมาณ ๖๐เซนติเมตร อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามันน่าจะมีขนาดใหญ่กว่านั้น มีชีวิตอยู่ในช่วง ๕๔๐ล้านปีที่แล้ว มันเป็นสัตว์กินเนื้อ ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กินอาหารทะเลอร่อยๆอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ เพราะจะโดนมันกินเรียบจนสูญพันธุ์กันหมด
๑๑. ปลาหมึกกระดองยักษ์ (Cameroceras)
จากซากกระดองที่ค้นพบคาดว่ามันน่าจะมีความยาวประมาณ ๙ เมตร ถึงมันจะเป็นสัตว์ที่ตาแทบจะมองไม่เห็น แต่มันก็เป็นนักล่าที่ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว มันน่าจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรในช่วงที่มันยังมีชีวิตอยู่ ๔๗๐ล้านปีที่แล้ว
๑๒. เพนกวินที่มีขนาดเท่ามนุษย์ (Palaeeudyptes klekowskii)
Palaeeudyptes klekowskii มีชีวิตอยู่ในช่วง ๓๗ ล้านปีที่แล้ว เวลายืนจะสูงประมาณ ๒ เมตร
CR : Blogger สิงห์นอกระบบ@OKnation
และ http://www.buzzfeed.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)